พ่อแม่ไม่ต้องเป็นเจ้าของภาษา ก็ช่วยให้ลูกพูดชัด พูดคล่องได้จริง
“เด็กพูดภาษาอังกฤษได้ แต่พูดไม่ชัดเลย” “ลูกจำคำศัพท์ได้ แต่เวลาออกเสียงเหมือนกลัวๆ ไม่มั่นใจ” “เวลาเลียนเสียงครู ก็ยังไม่ตรงซักที”
นี่คือปัญหาที่หลายครอบครัวเจอค่ะ แม้ลูกจะพยายามพูดแล้ว แต่ “การออกเสียง” เป็นอีกขั้นตอนที่ต้องใช้ความเข้าใจและการฝึกที่ถูกวิธี ถึงจะช่วยให้เด็กพัฒนาขึ้นได้อย่างมั่นใจ และไม่เสียกำลังใจไปกลางทาง
บทความนี้จะมาแบ่งปันเทคนิคฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษให้ถูกต้องสำหรับเด็ก โดยพ่อแม่สามารถทำได้เองที่บ้าน แม้จะไม่ใช่เจ้าของภาษาก็ตาม พร้อมแชร์วิธีที่เราฝึกกับลูกจริง ๆ และคำแนะนำในการเลือกคอร์สเรียนที่จะช่วยให้เด็กออกเสียงได้ชัด โดยไม่ต้องไปโรงเรียนทุกวันค่ะ
ทำไมการออกเสียงถึงสำคัญ?
การออกเสียงไม่ใช่แค่เรื่องสำเนียงหรือความเท่ แต่เกี่ยวกับความเข้าใจของคนฟังโดยตรงค่ะ ถ้าเด็กพูดคำว่า “three” เป็น “free” หรือพูด “ship” เป็น “sheep” ก็อาจทำให้ความหมายผิดเพี้ยน และไม่มั่นใจเวลาสื่อสาร
ที่สำคัญคือ หากเด็กรู้คำศัพท์แต่พูดผิดทุกครั้ง จะเริ่มลังเลในการพูด และกลายเป็น “กลัวพูด” เพราะกลัวผิดบ่อย ๆ
ปัจจัยที่ทำให้เด็กพูดไม่ชัด
1. ไม่เคยได้ยินสำเนียงที่ถูกต้อง เด็กบางคนฟังแต่ภาษาอังกฤษที่พูดสำเนียงไทย หรือจากแหล่งที่ออกเสียงไม่แม่น ทำให้จำเสียงผิดตั้งแต่ต้น
2. ยังไม่เข้าใจการวางปาก / ลิ้น / เสียง เสียงบางตัวในภาษาอังกฤษ เช่น /th/ หรือ /r/ ไม่มีในภาษาไทย เด็กจึงต้องเรียนรู้ “การใช้อวัยวะในการพูด” อย่างชัดเจน
3. ไม่มีคนคอยแก้หรือชวนออกเสียงซ้ำ เวลาเด็กพูดผิด ถ้าไม่มีใครคอยบอกว่า “ตรงนี้ควรวางลิ้นแบบนี้นะ” เด็กก็จะพูดผิดไปเรื่อย ๆ แบบไม่รู้ตัว

เทคนิคการฝึกออกเสียงให้ถูกต้องสำหรับเด็ก
🎧 1. ฟังจากเสียงเจ้าของภาษาก่อน
ก่อนจะฝึกพูด ให้เด็ก “ฟัง” จากเสียงที่ถูกต้องก่อนเสมอ อาจใช้คลิปเสียง / เพลง / นิทาน หรือวิดีโอที่มีเสียงพูดชัด ๆ จากเจ้าของภาษา ให้ฟังซ้ำ ๆ ในคำเดิม เช่น
“Dog” → ได้ยินเสียง /d/ และ /ɔːg/
“Three” → ได้ยินเสียงลม /θ/ ชัดเจน
เคล็ดลับ: ลองเปิดวิดีโอช้า ๆ หรือใช้ฟีเจอร์ลดความเร็วบน YouTube เพื่อให้เด็กฟังออกเสียงแบบช้า ๆ ได้
👄 2. สอนวางปาก–ลิ้น–ฟัน
เสียงบางตัวในภาษาอังกฤษเกิดจากการวางปากเฉพาะ เช่น
/th/ → ลิ้นต้องแตะฟันบนแล้วปล่อยลม (Three, Thank)
/v/ → ฟันบนแตะริมฝีปากล่าง แล้วปล่อยเสียง (Very, Voice)
/r/ → ลิ้นหดกลับ ไม่แตะเพดาน (Red, Run)
สามารถฝึกโดย
-พ่อแม่ทำท่าปากให้ลูกดู
-เปิดคลิปสอนออกเสียง (Articulation)
-ใช้กระจกให้เด็กดูปากตัวเองขณะออกเสียง
การเข้าใจ “กลไกเสียง” จะช่วยให้เด็กออกเสียงได้แม่นขึ้นค่ะ
🎤 3. ฝึกพูดแบบ “ทีละเสียง”
ให้เด็กฝึกแบบแยกเสียง เช่น
-ฝึกเสียงต้น /s/ → sun, snake, soup
-ฝึกเสียงลงท้าย /t/ → cat, hat, light
-ฝึกเสียงในคำ /sh/ → fish, brush, sheep
หรือฝึกแบบ “minimal pair” คือคำที่ต่างกันแค่เสียงเดียว เช่น
-ship / sheep
-bed / bad
-think / sink
กิจกรรมสนุก ๆ: เล่นเกมจับคู่คำที่เสียงคล้ายกัน หรือให้เดาเสียงจากภาพ
📲 4. ใช้แอปหรือคลิปฝึกออกเสียงแบบ interactive
มีแอปฝึกออกเสียงสำหรับเด็กที่ให้พูดตาม แล้วระบบตรวจว่าออกเสียงถูกไหม เช่น เสียง /k/ จะให้เด็กพูดคำว่า “car” แล้วมีรูปประกอบให้เห็น
การใช้เครื่องมือแบบ interactive จะช่วยให้เด็กเรียนรู้แบบสนุกและเห็นผลเร็ว
🧑🏫 5. เรียนกับครูต่างชาติที่ฝึกเสียงแบบมืออาชีพ
นี่คือสิ่งที่บ้านเราเห็นผลชัดที่สุดค่ะ เด็กจะพูดออกเสียงได้ตรงมากขึ้น เมื่อได้เรียนกับครูต่างชาติที่พูดชัด และ “คอยฟัง-แก้” ให้ทุกครั้งที่ออกเสียงผิด
บ้านเราเลือกเรียนกับ 51Talk เพราะเป็นคลาสแบบตัวต่อตัว เด็กได้พูดจริง ๆ ตลอด 25 นาที ครูใช้ภาพ เกม เพลง และบทสนทนาสนุก ๆ เพื่อสอนคำใหม่แบบไม่เครียด
ทุกคำที่ลูกพูด ครูจะฟังและแก้เสียงให้อย่างนุ่มนวล เช่น
ลูก: “I want a cat.” → ออกเสียง cat เป็น “cut” ครู: “Oh! Do you mean ‘cat’? Let’s say it slowly. ‘caaa–t’ 🐱”
การแก้เสียงแบบไม่ตัดสิน ทำให้เด็กไม่กลัว แล้วค่อย ๆ พัฒนาขึ้นเองค่ะ
วิธีเสริมการฝึกออกเสียงที่บ้าน
📚 1. อ่านนิทานด้วยกัน แล้วให้เด็ก “พูดตาม”
เลือกนิทานภาษาอังกฤษง่าย ๆ แล้วอ่านออกเสียงให้ลูกฟัง จากนั้นชี้คำ → บอกเสียง → ให้เด็กพูดตาม เช่น
“Look! A dog!” → ลูกพูด “dog” แล้วฝึกเสียง /d/ ชัด ๆ
“The sun is yellow.” → ฝึกเสียง /s/ จาก “sun”
ไม่ต้องอ่านทั้งหมดก็ได้ แค่บางคำที่อยากเน้นเสียง
🎵 2. ร้องเพลงประกอบการเคลื่อนไหว
เลือกเพลงที่มีคำง่าย ๆ และจังหวะชัด ๆ เช่น
Head, Shoulders, Knees and Toes
If You’re Happy and You Know It
Twinkle Twinkle Little Star
ให้เด็กฟังแล้วร้องตาม โดยเน้นคำที่มีเสียงน่าสนใจ เช่น /h/, /sh/, /t/ กิจกรรมนี้จะช่วยให้เด็กจดจำเสียงผ่านเพลง และกล้าพูดในรูปแบบที่สนุก
🔁 3. เล่น “Repeat Game” แบบครอบครัว
ตั้งคำหรือวลีง่าย ๆ แล้วให้ลูกพูดตามทุกคนในบ้าน เช่น พ่อพูด “Blue car” → แม่พูดตาม → ลูกพูดตาม เปลี่ยนคนเริ่มพูดไปเรื่อย ๆ จะช่วยให้เด็ก “กล้า” พูดมากขึ้น และได้ฝึกฟังเสียงจากหลายคนด้วย

สิ่งที่พ่อแม่ควรระวังขณะฝึกออกเสียง
– อย่าตำหนิเสียงผิดแบบแรง ๆ → เปลี่ยนเป็นการแนะนำอย่างอ่อนโยน
-อย่าเร่ง → ให้เวลาเด็กซึมซับแต่ละเสียงอย่างธรรมชาติ
-อย่าตั้งเป้าเสียงเป๊ะตั้งแต่แรก → เพราะเด็กจะกลัวผิด และไม่กล้าพูด
แทนที่จะบอกว่า “ผิดนะ ต้องพูดแบบนี้” ลองใช้คำว่า
“หนูลองพูดใหม่อีกทีได้ไหม แม่อยากฟังเสียงน่ารักของหนูอีกจัง 😊”
สิ่งสำคัญคือ “บรรยากาศที่เด็กกล้าลองเสียงใหม่ ๆ” ค่ะ
แล้วถ้าพ่อแม่ไม่มั่นใจเรื่องเสียง จะช่วยลูกยังไง?
จริง ๆ แล้วพ่อแม่ไม่จำเป็นต้องพูดภาษาอังกฤษเป๊ะค่ะ แค่เป็น “ผู้ร่วมเรียนรู้” กับลูก และใช้เครื่องมือที่ถูกต้อง เช่น…
-เปิดคลิปเสียงเจ้าของภาษาให้ลูกฟัง
-ชวนเล่นเกมออกเสียงจากแอป
-ใช้หนังสือเสียง (audio books) ที่มีคำและภาพควบคู่กัน
-ให้ลูกเรียนกับครูต่างชาติเพื่อได้สำเนียงตรง
ที่สำคัญคือ “อย่ากดดันตัวเอง” และ “อย่ากดดันลูก” ให้โฟกัสที่การสนุกกับเสียง มากกว่าการเป๊ะ 100%

ประสบการณ์จากการให้ลูกเรียนออกเสียงผ่านครูต่างชาติ
บ้านเราใช้ระบบของ 51Talk ค่ะ ซึ่งเป็นคอร์สออนไลน์แบบตัวต่อตัวกับครูต่างชาติ ตั้งแต่ลูกเริ่มเรียนมาได้ 2 เดือน พัฒนาการด้านการออกเสียงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
📍 เด็กพูดเสียง /th/ ได้ชัดขึ้น จากเดิมที่พูด “tree” เป็น “three” 📍 เริ่มรู้ว่าเสียงลงท้ายต้องพูด เช่น “cat” ต้องมีเสียง /t/ ไม่ใช่ “ca” 📍 เวลาพูดคำยาว ๆ ก็กล้าออกเสียงทีละพยางค์ เช่น “banana” → “ba–na–na”
ครูจะคอยสังเกตเสียงที่เด็กพูดผิด แล้วแก้ให้ด้วยวิธีที่สนุกและไม่ทำให้เด็กเสียกำลังใจ เช่น
“I heard ‘ba-na-naa!’ That’s great! Let’s clap while we say it! Ba–na–na!”
นอกจากนี้ยังมีระบบรายงานผลหลังคลาส ผู้ปกครองสามารถดูได้ว่า เด็กเรียนคำไหนไปแล้ว ออกเสียงได้ดีแค่ไหน และจุดไหนควรฝึกเพิ่ม
ที่ชอบที่สุดคือ เด็กไม่ได้เรียนแค่ “ภาษา” แต่เรียนผ่านกิจกรรมที่ทำให้ “การออกเสียง” กลายเป็นเรื่องสนุก
✅ ไม่ต้องไปโรงเรียน ✅ ไม่ต้องฝืนเรียน ✅ ไม่ต้องกลัวผิด คลาสสั้น 25 นาทีก็เห็นผลจริงค่ะ
หากพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกฝึกออกเสียงกับครูต่างชาติโดยไม่ต้องจ่ายแพงก่อน สามารถเริ่มจากคลาสทดลองฟรีได้เลยค่ะ คลิกที่นี่เพื่อจองคลาสทดลองฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่ผูกมัด ลองดูว่าลูกตอบสนองยังไงก่อนตัดสินใจได้เลย